ฝูงชายฉกรรจ์ทุบชาวบ้านราไวย์เจ็บระนาว



ชาวเลราไวย์ จ.ภูเก็ต ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 100 ชีวิต ทุบเละ เหตุต้องการเคลียร์พื้นที่ริมหาดสร้างวิลล่า 7 ห้อง เบื้องต้นเจ็บระนาวกว่า 10 ราย

 

 

ฝูงชายฉกรรจ์ทุบชาวบ้านราไวย์เจ็บระนาว  เหตุ ไล่รื้อที่ดิน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2559 ได้เกิดเหตุความรุนแรงขึ้นในชุมชนหาดราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ตภายหลังชายฉกรรจ์จำนวนกว่า 100 ราย พร้อมอาวุธ ปะทะกับชาวบ้านซึ่งเป็นชาวเลดั่งเดิม ประมาณ 50 คน ระหว่างที่กลุ่มชาวบ้านกำลังจะเดินทางไปยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อศูนย์ดำรงธรรม ศาลากลาง จ.ภูเก็ต เพื่อเรียกร้องสิทธิในการดำรงชีวิตของชาติพันธุ์ชาวเลในพื้นที่ เป็นเหตุให้มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บกว่า 10 ราย ต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล 3 ราย ในจำนวนนี้มี 1 รายที่อาการสาหัส ยังไม่ได้สติ


สำหรับเหตุรุนแรงดังกล่าว สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 26 ม.ค.2559 กลุ่มทุนซึ่งอ้างตัวว่ามีเอกสารสิทธิถูกต้องได้นำเครื่องจักร เข้ามาดำเนินการในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของชาวบ้าน พร้อมทั้งนำกำลังตำรวจและทหารปิดทางเข้าออก
กระทั่งช่วงสายของวันที่ 27 ม.ค.2559 ที่กลุ่มชายฉกรรจ์ได้นำกำลังเข้ามาในพื้นที่อีกครั้ง พร้อมทั้งนำรถสิบล้อบรรทุกหิน และรถแบคโฮ เข้ามาปิดกั้นทางเข้าออกที่ชาวบ้านใช้อยู่เป็นประจำ จนนำไปสู่การปะทะและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ
นายสนิท แซ่ซั่ว ชาวบ้านผู้อยู่ในเหตุการณ์ กล่าวว่า ชายฉกรรจ์กลุ่มดังกล่าวคือคนงานของนายทุนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งต้องการให้ชาวบ้านยุติการต่อต้านการพัฒนาพื้นที่ชุมชนราไวย์ ส่วนตัวตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่มีการวางกองกำลังเพื่อคุ้มครอง ทั้งที่มีสัญญาณความรุนแรงตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค.แล้ว ในขณะที่ประเด็นกรรมสิทธิ์ครอบครองที่ดินก็ยังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์


“เรื่องที่เกิดขึ้นได้สร้างความหวาดกลัวระลอกใหม่ เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาชาวบ้านถูกคุกคามหลายรูปแบบ และถึงแม้ว่าชาวบ้านจะถูกทำร้ายร่างกายหลายต่อหลายครั้ง ก็ยังไม่สามารถดำเนินคดีกับใครได้”นายสนิท กล่าว


นายไมตรี จงไกรจักร ผู้ประสานงานเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล กล่าวว่า ชาวบ้านในชุมชนซึ่งประกอบด้วยชนเผ่ามอแกน มอแกลน และอูรักลาโว้ย โดยพื้นที่ที่เกิดกรณีพิพาทเป็นพื้นที่ชายหาดสาธารณะที่ชาวเลใช้จอดเรือ เอาปลาขึ้นจากเรือ วางเครื่องมือประมง รวมทั้งเป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ (บาลัย) ตามความเชื่อของชาวเลมายาวนานนับร้อยปี


นายไมตรี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันพื้นที่บริเวณดังกล่าวถูกนายทุนกลุ่มหนึ่งฟ้องร้องขับไล่และปิดทางเข้าออก ทั้งยังห้ามไม่ให้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในแก้ไขปัญหาโดยคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล โดยมี พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง เป็นประธาน


ด้านนายชาตรี หมาดสตูล ผู้แทนบริษัทบารอน เวิลด์ เทรด จำกัด กล่าวกับ “ASTV ผู้จัดการ” ว่า ได้นำเครื่องจักรกลมาปิดพื้นที่ไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาในพื้นที่ เพื่อต้องการปรับไถพื้นที่ในการก่อสร้างวิลล่า จำนวน 17 ห้อง บนเนื้อที่ 33 ไร่ แต่ก็ทำไม่ได้สักครั้ง เนื่องจากถูกชาวไทยใหม่ขับไล่ตลอดเวลา


นายชาตรี กล่าวอีกว่า แม้จะมีการเจรจากันหลายแล้วก็ไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งโฉนดที่ดินดังกล่าวมีการออกถูกตามกฎหมาย มีการตรวจสอบโฉนดดังกล่าวไปยังสำนักงานที่ดินภูเก็ตหลายครั้งแล้ว และมีการยืนยันว่าเอกสารสิทธิ์ดังกล่าวถูกต้องจริง และมีการขออนุญาตทางจังหวัดในการเข้าปรับพื้นที่ โดยทางจังหวัดก็อนุญาตให้เข้าพื้นที่ได้ สำหรับที่ดินดังกล่าวมีการซื้อขายกันมา 3 ครั้งแล้ว โดยครั้งนี้เป็นของบริษัทบารอนฯ


ล่าสุด นายกฤษฏา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้สั่งการให้ ผวจ.ภูเก็ต เร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยกำชับว่าต้องไม่ให้มีการปะทะกันจนทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนขึ้นอีก พร้อมทั้งให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดไม่ว่าจะเป็นบุคคลกลุ่มใด หรือมีสีอะไรก็ตาม


สำหรับข้อเรียกร้องของกลุ่มชาวเล ประกอบด้วย 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.เร่งรัดการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินชุมชนชาวเลราไวย์ ตามมติคณะกรรมการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล 2.ให้มีการคุ้มครองพื้นที่ประกอบพิธีกรรม (บาลัย) และชายหาดตลอดหน้าแนวเขตเสาไฟฟ้า 3.ตรวจสอบหน่วยงานทหารที่เข้ามาดำเนินการในพื้นที่ เพื่อความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ชุมชน 4.ให้เร่งรัดการประกาศการสร้างเขตสังคมและวัฒนธรรมพิเศษ เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง


อนึ่ง บริเวณหาดราไวย์เป็นหนึ่งในพื้นที่ความขัดแย้ง ระหว่างชาวเลดั้งเดิมซึ่งยืนยันว่าได้อยู่อาศัยในพื้นที่มาก่อนจะมีการออกเอกสารสิทธิ์ กับกลุ่มทุนที่ต้องการเข้ามาพัฒนาพื้นที่และอ้างว่ามีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง โดยขณะนี้ข้อพิพาทดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการของกรมที่ดิน เนื่องจากก่อนหน้านี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เข้ามาพิสูจน์โครงกระดูกในสุสานชาวเล และพบว่าได้มีการอยู่มาก่อน จึงต้องให้มีการเพิกถอนโฉนดที่ดินที่ออกให้แก่นายทุน

ที่มา : www.greennewstv.com