พระพุทธสิหิงค์เมืองตรังที่หายไป

 

“พระพุทธสิหิงค์เมืองตรัง” องค์จริงที่หล่อด้วยสำริดซึ่งตำนาน “พระนางเลือดขาว” ตำนานผู้มีบุญญาธิการสร้างวัดเมืองตรังเป็นผู้สร้างและนำมาจาก “ลังกา” อายุหลายร้อยปีนั้นได้ถูกโขมยไปและยังตามหาไม่เจอจนวันนี้ แต่กระนั้นไม่ได้หายไปจาก “วัดพระพุทธสิหิงค์” ซึ่งประดิษฐานอยู่ในตอนแรก แต่กลับหายไปในช่วงที่องค์สำริดถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่ “วัดหัวถนน” ตำบลนาพละ อำเภอนาโยงอย่างมีเงื่อนงำใน พ.ศ.2526

 

 

พระพุทธสิหิงค์เมืองตรังที่หายไป

เรื่อง : กองบรรณาธิการ www.addtrang.com  สารคดีออนไลน์ทางเพจ @TRANG ที่นี่จังหวัดตรัง , สารคดีพิเศษทาง Manager Online ASTVภาคใต้

 

“เมืองตรัง” เมืองเล็กๆ แต่ขึ้นชื่อในเรื่องความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ สำหรับ “เมืองตรัง” มีวัดวาอารามมากมาย วัดหลายแห่งเก่าแก่โบราณอายุหลายร้อยปี แต่หลายแห่งก็ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และตามจำนวนคนเข้าวัดที่น้อยลงทุกที จากบันทึกและหนังสือหลายเล่มใน “หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯของตรัง” ได้เล่าเรื่องราวของวัดในเมืองตรังไว้มากมาย ทั้งในแง่โบราณวัตถุอันล้ำค่า ตำนาน ความเชื่อ ประวัติศาสตร์ ที่ล้วนเชื่อมโยงกับรากเหง้าการก่อกำเนิดเมือง รวมทั้งบรรพบุรุษของเรา เป็นเรื่องราวที่น่าภาคภูมิใจ หลายวัดได้เป็นอารามหลวง หลายวัดเป็นแหล่งปฏิบัติธรรม หลายวัดมีพระพุทธรูปเก่าแก่โบราณหายาก

               

ก่อนหน้านี้ในช่วงก่อนออกพรรษาของปี 2557 ผมได้มีโอกาสร่วมทีมกับคณะถ่ายทำสารคดีคณะหนึ่งจากกรุงเทพฯ เราเดินทางไปตามวัดเก่าแก่ต่างๆหลายวัดในเมืองตรัง เพื่อตามรอยประวัติศาสตร์ ตำนาน และเรื่องราว และ เพื่อตามหา “ความจริงที่ถูกลืมเลือน” ของเรื่องหนึ่ง คือ “พระพุทธสิหิงค์เมืองตรังที่หายไป”

               

สำหรับ “พระพุทธสิหิงค์” และ “วัดพระพุทธสิหิงค์” ในประเทศไทยมีอยู่ไม่กี่องค์ ไม่กี่วัด ซึ่งล้วนมีตำนานต่างกันไป อาทิ ที่เชียงใหม่ เชียงราย นครศรีธรรมราช กรุงเทพ และที่ “เมืองตรัง” “วัดพระพุทธสิหิงค์” ของ “เมืองตรัง” ตั้งอยู่ที่หมู่ 5 ตำบลนาโยงเหนือ อำเภอนาโยง ห่างตัวเมืองตรัง 10 กว่ากิโลเมตร เป็นวัดโบราณ ตำนานว่าเรียก “วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์” เดิมชื่อ “วัดกลาง” แต่เปลี่ยนไปเรียกตามชื่อพระพุทธรูปที่ประดิษฐาน ว่า “วัดพระพุทธสิหิงค์” ซึ่งปัจจุบันมีเพียง “พระพุทธสิหิงค์” องค์หล่อจำลองเท่านั้นที่ประดิษฐานอยู่ ส่วน “พระพุทธสิหิงค์” องค์จริงที่หล่อด้วยสำริดซึ่งตำนาน “พระนางเลือดขาว” ตำนานผู้มีบุญญาธิการสร้างวัดเมืองตรังเป็นผู้สร้างและนำมาจาก “ลังกา” อายุหลายร้อยปีนั้นได้ถูกโขมยไปและยังตามหาไม่เจอจนวันนี้ แต่กระนั้นไม่ได้หายไปจาก “วัดพระพุทธสิหิงค์” ซึ่งประดิษฐานอยู่ในตอนแรก

 

แต่กลับหายไปในช่วงที่องค์สำริดถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่ “วัดหัวถนน” ตำบลนาพละ อำเภอนาโยงอย่างมีเงื่อนงำใน พ.ศ.2526

 

              

เรื่องนี้ พระอธิการชู จนฺทโน” เจ้าอาวาสวัดพระพุทธสิหิงค์ และ “พระครูสุทธิโสภณ” เจ้าอาวาสวัดสวัสรัตนาภิมุข เจ้าคณะตำบลนาโยงเหนือ เคยเล่าไว้ว่า “ไม่ได้หายไปอย่างอาฏิหารย์ แต่คนใจบาปเป็นผู้เอาไป”

               

ในช่วงบ่ายที่ฝนค่อนข้างหนาเม็ด เราเดินทางไปที่ “วัดหัวถนน” เพื่อสืบสาวเรื่องราวของ “พระพุทธสิหิงค์เมืองตรังที่หายไป” เราได้สนทนากับคนเฒ่าคนแก่ และผู้ที่เคยได้เห็น “พระพุทธสิหิงค์” องค์สำริดดังกล่าว ทุกคนเล่าด้วยแววตาเศร้าสร้อยแฝงไปด้วยความเสียดาย แม้เรื่องจะผ่านมากว่า 30 กว่าปีมาแล้ว คนแก่หลายคนในวันนั้นเล่าตรงกัน ว่า ในอดีตชาวตรังเลื่อมใสศรัทธา “พระพุทธสิหิงค์” มาก ช่วงหลังที่นำมาประดิษฐานที่ “วัดหัวถนน” ในทุกเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี ทางจังหวัดจะต้องจัดขบวนยิ่งใหญ่มาอัญเชิญ “พระพุทธสิหิงค์” จาก “วัดหัวถนน” ไปให้พี่น้องประชาชนชาวตรังสักการะบูชา สรงน้ำที่หน้าที่ว่าการทำเภอ มีการจัดงานสมโภชน์ยิ่งใหญ่กันทุกปี ทั้งคหบดี ข้าราชการ ประชาชน จำนวนมากมาสรงน้ำ และร่วมงานบุญ สมัยก่อนการคมนาคมลำบาก มีถนนลูกรังเส้นเดียวคือ “ถนนตรังพัทลุง” รอบๆ “วัดหัวถนน” ยังเป็นทุ่งนาทั้งหมด ทางการจึงต้องตัดขบวนลงทาง “บ้านท่าปาบ” แล้วเดินกันมาตามค้นนาลุยน้ำเพื่อมาอัญเชิญ “พระพุทธสิหิงค์” ที่วัด

               

“คุณสีนวล” หรือ “เอื้อน คำวร” อดีตผู้ใหญ่บ้านหญิง หมู่6 ตำบลนาพละ ผู้รับรู้เรื่องราวของการตามหา “พระพุทธสิหิงค์” อย่างใกล้ชิด เล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ ว่า “พระพุทธสิหิงค์เมืองตรัง” จะมีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนแห่งใดในประเทศไทย เพราะหล่อฐานด้านหน้าองค์พระให้มีห่วงเข้าใจว่าเพื่อเอาไว้ร้อยเชือกระหว่างเดินทางขนย้ายมาทางเรือที่ต้องเจอกับคลื่นลม ส่วนด้านหลังก็จะมีห่วงไว้เสียบฉัตร ชาวบ้านที่เลื่อมใสศรัทธาก็จะมาบนบานศาลกล่าว ความว่า..”เดชะ พระพุทธสิหิงค์ ข้าพเจ้าของให้....” ไม่ว่าเรื่องเจ็บป่วย  วัวควายหายให้ได้คืน หรือเรื่องทุขก์ต่างๆ ซึ่งเมื่อพ้นทุกข์ ชาวบ้านก็จะมาแก้บนด้วย “ต้มเปียก” คือ การต้มข้าวแล้วปรุงรสด้วยการใส่น้ำตาล  ดังนั้นการหายไปของ “พระพุทธสิหิงค์เมืองตรัง” นอกจากจะเป็นการสูญเสียโบราณวัตถุทรงคุณค่าแล้ว ยังกระทบจิตใจพุทธศาสนิกชนคนตรังอย่างรุนแรง

               

คนเฒ่าคนแก่ในแถบนั้นรายอื่นๆ เล่าเพิ่มเติมว่า ในช่วงหลังก่อนพระจะหายไป “วัดหัวถนน” ต้องตกเป็นวัดร้างบ้างในบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะมีพระสงฆ์มาจำวัด โดยในช่วงหลังมีเจ้าอาวาสท่านหนึ่ง นำองค์พระที่ประดิษฐานในอุโบสถมาเก็บไว้ในกุฏิ แล้วหลังจากนั้นไม่นาน “พระพุทธสิหิงค์” ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในพ.ศ.2526 ชาวบ้านสอบถามอย่างไรก็ไม่ได้ความ

               

นาฬิกาแห่งกาลเวลาหมุนเวียนไปกว่า 31 ปี พร้อมๆกับเรื่องราวที่เริ่มเลือนออกจากความทรงจำคนรุ่นใหม่ แต่สำหรับคนเฒ่าคนแก่ “ฝันร้าย” นี้ได้ฝังลึกลงในหัวใจ จนยากที่จะล้างออกตราบใดที่ยังไม่ได้ “พระพุทธสิหิงค์เมืองตรัง” กลับคืนมา ...

           

ก็อยากจะถามให้คิดว่า วันนี้คนรุ่นใหม่ ผู้เกี่ยวข้อง ผู้หลักผู้ใหญ่ ว่าอย่างไรกับเรื่องนี้? ... ไปถามคนแก่ๆแถบ นาพระ นาหมื่นศรี นาโยง เกือบทุกคนที่เข้าวัด บอกตรงกันทุกคนว่า “พระพุทธสิหิงค์เมืองตรัง” ถูกคนใหญ่คนโตระดับประเทศเอาไปเป็นสมบัติส่วนตัว กระทั่งบุคคลดังกล่าวถึงแก่กรรมไปแล้วแต่ก็ยังไม่ได้คืน และไม่รู้ว่ายังอยู่ดีในห้องพระดังกล่าวหรือไม่ หรือครอบครัวและลูกหลานของคนใหญ่คนโตคนนั้น ได้เก็บรักษาไว้ต่อไปหรือไม่อย่างไร...?

 

ชมภาพวัดหัวถนนในปัจจุบัน

 

 

หมายเหตุ - ขอบคุณข้อมูลประกอบจากหนังสือมาลี ศรีตรัง โดย รศ.ประพนธ์ เรืองณรงค์ และ คำบอกเล่าจากคนเฒ่าคนแก่ผู้หวงแหนสมบัติล้ำค่าในพื้นที่