เฟิรสท์-ธัญชนก จิตตกุล กับเสียงที่ได้ยินด้วยหัวใจ

บนเวทีประกวดเธอสวยใสสง่างาม..บนแคทวอล์คเธอมีท่วงท่าอย่างนางแบบอาชีพ..หน้ากล้องในงานพิธีกรเธอนำพาผู้ชมท่องไปในที่ต่างๆ..ชีวิตและตัวตนของเธอไม่เคยปรากฎหรือเปิดเผยที่ไหนมาก่อนสำหรับลูกสาวชาวตรังคนนี้..แม้สวรรค์แกล้งมอบข้อบกพร่องทางด้านการได้ยินและการพูดมาให้...แต่ก็มิอาจขวางทางฝันของสาวน้อย ที่ชื่อ เฟิรสท์-ธัญชนก จิตตกุล

 

“เฟิรสท์-ธัญชนก จิตตกุล” กับเสียงที่ได้ยินด้วยหัวใจ

เรื่อง : กองบรรณาธิการ www.addtrang.com ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ฅนตรัง จังหวัดตรัง

 

บนเวทีประกวดเธอสวยใสสง่างาม..บนแคทวอล์คเธอมีท่วงท่าอย่างนางแบบอาชีพ..หน้ากล้องในงานพิธีกรเธอนำพาผู้ชมท่องไปในที่ต่างๆ..ชีวิตและตัวตนของเธอไม่เคยปรากฎหรือเปิดเผยที่ไหนมาก่อนสำหรับลูกสาวชาวตรังคนนี้..แม้สวรรค์แกล้งมอบข้อบกพร่องทางด้านการได้ยินและการพูดมาให้...แต่ก็มิอาจขวางทางฝันของสาวน้อย ที่ชื่อ เฟิรสท์-ธัญชนก จิตตกุล

 

 

เมื่อพบใบหน้าหญิงสาว เธอดูเหมือนหญิงสาวสวยปกติทั่วไป เธอยกมือไหว้สวัสดีทักทายตามมารยาทไทยอย่างงดงาม ก่อนจะโพสท่าให้เก็บภาพอย่างทะมัดทะแมงราวนางแบบมืออาชีพ

 

ชีวิตและตัวตนของเธอไม่เคยปรากฎหรือเปิดเผยที่ไหนมาก่อนอย่างจริงจัง สำหรับลูกสาวชาวตรังคนนี้ น้องเฟิรสท์-น.ส.ธัญชนก จิตตกุล วัย 23 ปี ดีกรีผู้ครองตำแหน่ง Miss Deaf Thailand 2013 รวมทั้งการได้เป็นตัวแทนสาวไทยเข้าประกวด Miss Deaf Word ณ สาธารณรัฐเช็ก และ การเป็นนักแสดงในสังกัด PDAD แม้ทุกวันนี้เธอจะใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นส่วนใหญ่ด้วยภาระหน้าที่ในงานประจำของบริษัทประกันรายใหญ่ แต่ถ้ามีเวลาเธอจะกลับมาตรัง บ้านเกิดเมืองนอนของเธออยู่บ่อยครั้ง เพราะมีทั้งครอบครัว เพื่อนพี่น้อง ที่อบอุ่นต้อนรับอยู่เสมอ

 

ด้วยข้อบกพร่องทั้งทางการได้ยินและการพูดของเธอ วิธีการสัมภาษณ์เพื่อสำรวจลึกถึงตัวตนของเธอ จึงถูกออกแบบขึ้นมาใหม่ ชนิดที่ผู้สัมภาษณ์ก็ไม่เคยใช้วิธีการดังกล่าวมาก่อนตลอดการทำงานในสายขีดๆเขียนๆ นั้นคือการสัมภาษณ์ด้วยการพิมพ์คำถามส่งให้เธออ่านเป็นข้อๆแล้วให้เธอพิมพ์คำตอบกลับมา และคำตอบของเธอไม่ทำให้ผิดหวัง หลังจากที่เธอเธอใช้เวลาทั้งคืน เพื่อคิดและตอบคำถามทีละข้อ ก่อนส่งคำตอบกลับมาทางอีเมล์ในช่วงเวลาเกือบสว่างของอีกวัน

 

 

น้องเฟิรสท์ เกิดที่โรงพยาบาลตรังรวมแพทย์และเป็นเด็กที่บกพร่องทางการได้ยินมาตั้งแต่กำเนิด แต่ทุกอย่างตั้งแต่เล็กจนโตพัฒนาการของน้องเฟิรสท์ก็เหมือนเด็กปกติทั่วไปคือจะไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นเด็กพิการหรือบกพร่องทางการได้ยิน พออายุได้ 3 ขวบคุณแม่ก็ให้ไปเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนธนวิทย์ ที่ตำบลแม่ขรี จังหวัดพัทลุงเพราะครอบครัวย้ายจากอำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง เพื่อไปทำงาน จากนั้นก็เข้าชั้น ป.1-2 ที่โรงเรียนโสตศึกษา จังหวัดสงขลา เป็นโรงเรียนภาษามือ แล้วย้ายเข้าเรียนที่โรงเรียนกาญจนาภิเษกสมโภชฯ ที่จังหวัดปทุมธานี และได้เรียนหลักสูตรร่วมกับเด็กปกติทั่วไป เธอบอกว่า ตั้งแต่อนุบาล3-ป.6เธอได้ร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนทุกครั้ง โดยเฉพาะกิจกรรมการแสดงออก ทั้ง รำ เต้น แข่งขันตอบปัญหา แข่งกีฬา และนั่นคือจุดเริ่มต้น

 

ย้อนกลับไปถึงสาเหตุที่ทำให้สาวน้อยคนนี้เข้าสู่วงการความสวยความงาม ล้วนมาจากการร่วมกิจกรรมของโรงเรียนเป็นประจำนั่นเอง การแต่งตัวและการได้แสดงออกต่อหน้าผู้คนมากๆ ทำให้เมื่อจบชั้น ป.6 คุณแม่จึงตัดสินใจส่งสาวน้อยคนนี้ไปเรียนเสริมสวยที่ “โรงเรียนเสริมสวยสมฤดี” ที่ตรัง  เธอเรียนแต่งหน้าทำผมหลักสูตร1ปีด้วยความตั้งใจ ตามฝันที่รัก จบมาก็ทดลองเปิดร้านเป็นของตัวเองด้วยแรงสนับสนุนจากครอบครัว ทำอยู่ราว 3ปี ก่อนจะผันตัวและเดินทางเข้าเมืองกรุงเพื่อไล่ล่าความฝันในขั้นต่อไป

 

“หนูเป็นเด็กบ้านนอก เกิดที่ตรัง บกพร่องทางการได้ยินมาตั้งแต่กำเนิด พัฒนาการแรกเกิดเราจะไม่รู้เลยว่าเราพูดไม่ได้ หรือไม่ได้ยินเสียง กระทั่งโตขึ้นมาหน่อยจึงรู้ตัวเอง อายุได้3ขวบแม่ก็ให้หนูไปเรียนโรงเรียนของเด็กพิเศษ เรียนชั้นอนุบาลที่พัทลุง แล้วไปต่อป.1ที่สงขลา เป็นโรงเรียนที่มีสอนภาษามือ จากนั้นก็หนูเข้าเรียนที่โรงเรียนกาญจนาภิเษกสมโภช ที่ปทุมธานี ก็ได้เริ่มเรียนร่วมกับเด็กปกติ เพื่อฝึกการปรับตัวค่ะ” คือข้อความแนะนำตัวของเธอที่พิมพ์ตอบกลับมาด้วยสำนวนซื่อๆและบริสุทธิ์

 

 

ทว่า ในความไม่สมบูรณ์สำหรับ น้องเฟิรสท์ แต่เธอไม่เคยมองตัวเองว่าเป็นอย่างนั้น ตรงกันข้าม ในช่วงศึกษาเล่าเรียน เธอเข้าร่วมกิจกรรมอย่างที่ไม่แพ้คนปกติทำกันทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น แข่งกีฬา แสดงบนเวที รำไทย เชียร์ลีดเดอร์ และเคยเป็นตัวแทนโรงเรียนร่วมกิจกรรมการประกวดรายการชิงช้าสวรรค์ทางช่อง 9 และนั่นเองที่ทำให้ น้องเฟิรสท์ หลงรักในเรื่อง “ความสวยความงาม” และ “งานแสดง” โดยมีวิชางานเสริมสวยติดตัวประกอบจากการได้เข้าร่ำเรียนในโรงเรียนเสริมสวยอย่างจริงจัง ก่อนออกมาทดลองทำงานเสริมสวยจนเข้าขั้นมีฝีมือ

 

เธอบอกว่า ส่วนสำคัญที่ทำให้เธอไม่ย่อท้อแม้ฟ้าจะลิขิต คือ “ครอบครัว” นั่นเอง

 

“ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อกับแม่ให้กำลังใจหนูตลอด สอนให้เราคิดเป็นทำเป็น ให้ช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เล็ก หนูต้องอยู่โรงเรียนประจำตั้งแต่อนุบาลจนถึงป.6 ท่านสอนให้เรารู้จักและใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติทั่วไปให้มากที่สุดค่ะ”

 

 

“สำหรับเรา การที่เรามีปัญหาเรื่องการพูดและการได้ยิน ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตในทุกวันนี้เลยค่ะ เพราะแม่จะสนับสนุนให้หนูทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเด็กปกติทั่วไป ท่านทำอะไรก็ต้องพาหนูไปด้วยตลอด แม่ไม่เคยอายว่ามีลูกไม่เหมือนเด็กคนอื่นเขา”

 

“ความภูมิใจของหนู คือ สามารถเรียนรู้และทำอะไรได้เหมือนคนปกติทั่วไป ที่ภูมิใจอย่างหนึ่งคือ ตัวเองมีอาชีพสามารถเปิดร้านเสริมสวยทำผมแต่งหน้าให้ลูกค้าได้ เราประกอบอาชีพสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้ สำหรับหนู สิ่งที่ทำให้เราท้อแท้ในชีวิต คือการที่เราไม่มีอะไรทำ ว่าง ไม่มีงานมากกว่า ดังนั้นในทุกๆวันหนูจึงอยากมีงานทำ มีอะไรก็ทำ ไม่อยากให้ตัวเองว่างหรืออยู่เฉยๆค่ะ”

 

ในวันนี้ น้องเฟิรสท์ กำลังเดินตามเส้นทางแห่งความฝัน จากชีวิตที่ต่ำกว่าต้นทุนของคนปกติ และในฐานะเด็กต่างจังหวัดธรรมดาๆดนหนึ่ง แต่ทุกวันนี้เธอสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้จากงานประจำและงานพิเศษที่ทำด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของตัวเอง และมีงานเข้ามามากมายในขั้นไม่ธรรมดา ที่สำคัญ เธอเป็นพิธีกรคนสำคัญของ Thai Deaf TV ทีวีเพื่อคนหูหนวก ผลิตโดย สำนักงานกองทุนเสริมสร้างสุขภาพแห่งชาติ(สสส.) และ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต ออกอากาศทางช่องTNN และ Youtube ทำหน้าที่บอกเล่าสื่อสารให้ผู้ขาดพร่องเช่นเดียวกับเธอ ได้สัมผัสองค์ความรู้ ข่าวสาร สาระ ความบันเทิง จากโลกภายนอกเทียบเท่าคนปกติ และผลงานในละครคนหูหนวก เรื่อง “ฟ้าสลับรุ้ง” ซึ่งจัดฉายไปแล้ว ที่หอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2556 รวมถึงงานแสดงมากมาย

 

และล่าสุดในปี 2558 กับ “สงครามนางงาม” หรือ Beauty and the Bitches เป็นละครชุดแนวโมเดิร์นเรียลลิตี้ดราม่า ผลิตโดย บริษัท ซีเนริโอ จำกัด ออกอากาศทางช่อง one อำนวยการสร้างโดย บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ

 

 

ภายใต้รูปโฉมภายนอก เธอสวยและน่ารัก เมื่อได้อ่านคำตอบที่เธอพิมพ์ตอบการสัมภาษณ์ถึงได้รู้ว่า เธอยังเป็นคนฉลาด ไหวพริบดี และที่สำคัญ แม้เธอจะไม่สามารถได้ยินเสียงต่างๆ แต่เธอกลับสามารถอ่านปากของคนที่พูดกับเธอ และเดาคำพูดได้อย่างแม่นยำ แม้เราจะไม่เข้าใจในภาษามือ แต่ภาษาเขียน ก็ทำให้การสัมภาษณ์ในครั้งนี้ราบรื่นอย่างน่าอัศจรรย์

 

แน่นอน “ความฝัน” ของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน “ในด้านความสวยความงาม” หลังได้รับตำแหน่ง Miss Deaf Thailand 2013  เธอได้กลายเป็นความหวังและเป็นตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปประกวด Miss Deaf World ที่สาธารณรัฐเช็ค เมื่อเดือนกรกฎาคม 2556 และเป็นที่น่าภูมิใจที่เธอได้ผ่านการคัดเลือกจากกรรมการะดับโลก และได้เข้าประกวดในรอบชิงชนะเลิศ แต่แม้จะไม่ได้รับมงกุฎกลับมา แต่ประสบการณ์และความภาคภูมิใจในการไปทำหน้าที่ในฐานะสาวไทย และสำหรับเธอที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะก้าวไปไกลถึงเพียงนี้ ล้วนทรงคุณค่าต่อตัวเธอไม่รู้ลืม

 

 

“หนูดีใจมากๆค่ะ ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย หนูได้เจอเพื่อนต่างชาติ คุยกันโดยใช้ภาษามือนานาชาติ สนุกมากๆค่ะ ตอนเก็บตัวต้องซ้อมหนัก ทั้งการเดินแบบ กิจกรรมทุกอย่าง แต่มีความสุข พอวันที่แข่งจริง หนูรู้สึกตื่นเต้นมากๆ คนมาชมกันเยอะมาก เป็นประสบการณ์และความภาคภูมิใจที่จะจำไปตลอดชีวิตค่ะ”

 

ในวันนี้ วันที่ลูกสาวชาวตรังคนนี้เรียนจบ เธอได้งานประจำแล้ว ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น แต่ไม่น่าห่วงเพราะเธอทำสิ่งเหล่านี้มาอย่างสม่ำเสมอ วันนี้เธอสามารถหารายได้ด้วยตัวเอง ไม่เป็นภาระต่อใคร และเธอยังคงทำหน้าที่ส่งเสียงสื่อสารให้คนทั่วไปรู้จักโลกที่แสนสวยงามของเธอต่อไปไม่รู้จบ...และเป็นเสียงที่ออกมาจากหัวใจอันบริสุทธิ์..

 

ชมภาพเพิ่มเติม

 

 

....................................................................................................................................................

สงวนลิขสิทธิ์บทความ ภาพประกอบ รวมทั้งข้อความใดๆ ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ 2558 ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่ ดัดแปลง แก้ไข หรือเพื่อประโยชน์ทางการค้า โดยมิได้รับอนุญาติจาก www.addtrang.com แต่มีความยินดีสำหรับการเผยแพร่เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่บุคคลทั่วไป โดยอ้างอิงแหล่งที่มา หากมีข้อสงสัยติดต่อ  This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

....................................................................................................................................................